เจาะ 10 เทรนด์การค้าออนไลน์ E-Commerce ไทยและอาเซียนปี 2015 (Thailand & Asian E-Commerce Trend 2015)

2
Apr

ปี 2014 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ E-Commerce ประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างมาก เรียกได้ว่าโตแบบก้าวกระโดด เมื่อเทียบหลายๆ ปีทีผ่านมาเลยทีเดียว ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ E-Commerce เติบโตอย่างมากคือ กระแสของ E-Commerce เริ่มเข้ามากลายเป็นกระแสหลักที่ทุกธุรกิจต่างต้องการเข้ามาขยายช่องทางการขายผ่านข่องทางนี้ และการเข้ามาของผู้ให้บริการจากต่างประเทศ รวมถึงการพัฒนาในทุกๆ ด้านของส่วนสนับสนุนการค้าออนไลน์ได้แก่ ระบบชำระเงินออนไลน์ที่พัฒนาไปอย่างมาก (Online Payment) หรือ ระบบจัดการสินค้าและขนส่งถึงปลายทาง พร้อมเก็บเงิน (Warehouse & Fulfilment) และที่สำคัญที่สุดคือ ตัวเลขของคนไทยที่ใช้อินเทอร์เน็ตถึบตัวขึ้นสูงถึง 31 ล้านคน โดย 3G และมือถือสมารท์โฟนราคาถูกคือปัจจัยที่ทำให้คนไทยเกือบทุกระดับเริ่มเข้าสู่อินเทอร์เน็ต ทั้งหมดนี้คือปัจจัยที่ทำให้ E-Commece ของเมืองไทย หรือจะเรียกได้ว่าทั่วทั้งประเทศเอเซียตะวันออกเชียงใต้เติบโตกันทุกๆ ประเทศ

เมื่อเห็นว่า E-Commerce มันเติบโตมากมายขนาดนี้ เรามาดูเทรนด์หรือแนวโน้มของ E-Commerce ประเทศไทยในปี 2015 ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง มาดูกันครับ

1. บริษัทและร้านค้าต่างๆ จะเริ่มเข้ามาเปิดทำการค้าทางออนไลน์กันมากขึ้น (Retail and Corporate move to e-commerce)

จากการเติบโตของการค้าผ่านทาง E-Commerce โดยเฉพาะการเติบของแบรนด์ต่างๆ ที่ขายกันอย่างถล่มทลายที่ประเทศจีนผ่านเว็บ T-Mall และ TaoBao ทำให้เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าแบรนด์สามารถเข้าสู่โลกออนไลน์ขายตรงไปยังผู้บริโภคได้อย่างอิสระ ทำให้กระแสนี้ปลุกให้แบรนด์แต่างๆ หันมาขายผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น เราจะเห็นสินค้าใหม่ๆ สินค้าที่ขายช่องทางปกติ หันมาขายทางออนไลน์กันมากขึ้น

คำแนะนำ : หากคุณเป็นแบรนด์หรือเจ้าของสินค้า นี้คือโอกาสที่คุณจะเปิดโอกาสการขายขายสินค้าคุณได้แล้ว จะผ่านผู้ให้บริการหรือจะเปิดเว็บขายเองก็ได้

2. การเข้ามาของผู้ค้าออนไลน์จากต่างประเทศในระดับภูมิภาค (Regional Competition)

ปัจจุบันการค้าออนไลน์ในประเทศต่างๆในอาเซียนหรือประเทศอื่นๆ กำลังเริ่มขยายฐานการขายผ่านออนไลน์ออกไปยังประเทศต่างๆ เช่น Qoo10 ได้ขยายไปยังสิงค์โปร์ มาเลย์เซีย อินโดนิเซีย (น่าจะเข้าไทยเร็วๆ นี้)​ หรือ Alibaba ก็เริ่มบุกมายังประเทศต่างๆ ในอาเซียน ซึ่งจะเข้าไทยในเร็วๆ นี้เช่นกัน โดยจะทำให้ผู้ซื้อสินค้าในประเทศสามารถซื้อสินค้าของประเทศอื่นๆ ผ่านเว็บไซต์ได้ทันที นั่นหมายถึงการแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการจากต่างประเทศจะเหาะเข้ามาทำการค้ากับลูกค้าในประเทศของเรา ซึ่งแนวโน้มจะเห็นบริษัทจากต่างประเทศจะเริ่มบุกผ่านเข้ามาทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

คำแนะนำ : คุณควรรีบตั้งรับ และปรับธุรกิจออนไลน์ของคุณให้แข็งแรงมากขึ้น เพราะหากคุณช้าเกินไป หรือไม่ได้ปรับตัว คุณอาจจะสูญเสียลูกค้าของคุณไปให้กับคู่แข่งต่างประเทศได้ง่ายๆ โดยลูกค้าคุณสามารถหันไปซื้อของคู่แข่งของคุณทางออนไลน์​ซึ่งราคาอาจจะถูกกว่า สินค้าอาจจะมีหลากหลายมากกว่า ดังนั้นจงอย่าช้าครับ

3. การแข่งขันที่รุนแรงของผู้ให้บริการ E-Commerce หรือเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ (E-Commerce Bubble)

ตอนนี้นักลงทุนหลายๆ คนต่างสนใจที่จะลงทุนในธุรกิจ E-Commerce กันอย่างมาก ทำให้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลจากเมืองนอกไหลเข้าสู่ธุรกิจ E-Commerce จะเห็นได้ชัดจากการมาของเว็บ E-Commerce จากต่างประเทศที่ ต่างกันโฆษณาโปรโมทกันอย่างหนักทางสื่อต่างๆ ซึ่งเป็นการสาดการเงินกันอย่างหนัก ซึ่งบอกได้เลยว่านี่ไม่ใช่เกมส์ระยะสั้น และแต่ละเจ้าไม่ได้มองที่ “กำไร” แต่มองถึงเป้าของการเติบโต (Growth) และ การขยายธุรกิจ (Scale) ให้เร็วที่สุด โดยแต่ละเจ้ามีเงินเต็มหน้าตัก พร้อมที่จะเผาเพื่อที่จะทำให้ตัวเองไปอยู่แถวหน้าของธุรกิจให้เร็วที่สุด

คำแนะนำ : หากคุณอยากเปิด E-Marketplace หรือเว็บประกาศซื้อ-ขาย ผมว่านี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีนัก เพราะการแข่งขันส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในกลุ่มธุรกิจ E-Commerce ประเภทนี้เป็นหลัก หลีกเลี่ยงไปทำ E-Commerce ประเภทอื่นดีกว่าอย่างเช่น ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่ยังไม่มีการแข่งขันสูงมากนัก

4. การตลาดและโปรโมชั่นแบบเจาะจงแต่ละบุคคล (Personalize Promotion & Marketing)

ด้วยการเปิดกว้างของเทคโนโลยี ทำให้เราสามารถทราบถึงพฤติกรรมของลูกค้าเราได้ดีขึ้น เราทราบว่าลูกค้าซื้ออะไรไป เมื่อไร เค้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย อยู่ต่างจังหวัดหรือกรุงเทพ รวมถึงข้อมูลของผู้ซื้อมากมาย ทำให้นักการตลาดสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อทำ โปรโมชั่น แบบระบุกลุ่มเป้าหมาย หรือระบุตัวคนได้ได้ (Targeted & Personalize Promotion) รวมถึงเทคโนโลยีการโฆษณาแบบติดตามผู้ชมที่เข้ามาเว็บไซต์เราแล้ว (ReTargeting) ที่จะมีชั้นเชิงมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ จะทำให้การสื่อสารในโลกออนไลน์เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ได้ผลมากขึ้น

คำแนะนำ : การตลาดแบบออนไลน์แบบเดิมๆ ดูจะได้ผลน้อยลง และมีแนวโน้มที่ราคาจะเริ่มสูงขึ้นจากผลของการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นของธุรกิจ E-Commerce ที่เข้าไปใช้กัน ดังนั้นการทำการตลาดกับลูกค้าเดิมของเรา และเจาะจงไปยังลูกค้าแต่ละคนจะทำให้ประสิทธิภาพ (Efficiency) ของการตลาดดีกว่า และได้ผลลัพย์ที่ดีกว่า จงเริ่มศึกษาข้อมูลของพฤติกรรมผู้ซื้อของคุณอย่างลงลึกและเริ่มทำการตลาดกลับไปหาเค้าให้มีประสิทธิภาพ

5. โปรโมชั่นออนไลน์ ลดกระหน่ำ แจกกระจาย ปะทะกันกระจุย (Online Promotion War)

จากการแข่งขันที่ดุเดือนของบรรดาผู้ให้บริการ E-Commerce ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า วิธีการดึงลูกค้าได้ดีที่สุดคือ “การจัดโปรโมชั่น ทั้งลดราคาและแจกเงินไปซื้อ (Promotion & Cash Campaign)” ซึ่งเริ่มมีให้เห็นกันมากขึ้นในปลายปี 2014 แต่บอกได้เลยว่าปี 2015 จะมีการทำโปรโมชั่น ส่วนลด แลก แจก แถมกันจากเว็บไซต์ต่างๆ แบบเต็มไปหมด คูปองลดราคา คูปองเงินสด จะแจกกันกระจุยกระจาย เพื่อดึงลูกค้าและสร้างยอดขายให้กับธุรกิจของตนอย่างเร็วที่สุด ผู้ที่ชนะคือ ผู้บริโภค และความจงรักภักดีของผู้บริโภคจะต่ำมาก เพราะใครเสนอให้ราคาถูกกว่าและต่ำกว่า ก็พร้อมจะเปลี่ยนใจไปซื้อได้ทันที

คำแนะนำ : จงอย่าไปอยู่ในเกมส์การแข่งขันที่ดุเดือด ต้องสร้างความแตกต่างและเหนือกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ในเทคโนโลยีและการสื่อสารกับลูกค้าเก่าที่เคยซื้ออยู่แล้วให้เกิดความต่อเนื่อง และสร้างฐานลูกค้าใหม่ให้มากที่สุด ทำให้เกิด “การซื้อครั้งแรกที่น่าประทับใจ (1st purchase)” ให้ดีที่สุด และลูกค้าก็จะอยู่กับเรา

6. การแข่งขันแบบดุเดือดของบริษัทบริหารสินค้าและจัดส่ง (Red Ocean of Fulfilment)

ในปี 2014 มีผู้ให้บริการบริหารสินค้าและจัดส่ง (Warehouse & Fulfilment) เกิดขึ้นอย่างมากมายหลายบริษัท ทั้งบริษัทเล็กและบริษัทใหญ่ ซึ่งจะเน้นให้บริการกับบริษัทที่ให้บริการด้าน E-Commerce โดยบางเจ้าก็มีความสามารถในการจัดส่งได้ทั่วประเทศ บางเจ้าก็สามารถให้บริการเก็บเงินปลายทางได้ (COD) หรือบางเจ้าก็มีแวร์เฮาส์ในการเก็บของได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งจำเป็นของผู้ที่ทำการค้าออนไลน์ในระดับกลางที่มียอดขายระดับนึงแล้ว ซึ่งตอนนี้เองได้เกิดการแข่งขันทางด้านราคากันอย่างมากแล้ว เราจะเริ่มเห็นบริษัทขนส่งอื่นๆ หันมาทำบริการลักษณะนี้มากขึ้น มาแย่งส่วนแบ่งของไปรษณีย์ไทยมากขึ้นเช่นเดียวกัน

คำแนะนำ : หากต้องการบริษัทที่ให้บริการบริหารสินค้าและจัดส่ง ลองเลือกดูให้ดีๆ ตอนนี้มีเปิดให้บริการมากมายหลายเข้า ลองเปรียบเทียบและเลือกเจ้าที่เหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุดในการให้บริการกับลูกค้าของคุณ เพื่อการจัดส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

7. การส่งของพร้อมเก็บเงินปลายทางจะกลายเป็นช่องทางที่คนไทยนิยมใช้

พฤติกรรมการซื้อของๆ คนไทยและคนเอเซียจะคล้ายๆ กันคือ ต้องการเห็นของก่อนแล้วค่อยจ่ายๆ เงิน และเมื่อระบบชำระเงินได้เริ่มพัฒนาไปมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถ ส่งและเก็บเงินปลายทาง (Cash on Delivery – COD) เมื่อผู้รับได้รับของแล้วจึงค่อยเก็บเงินได้ คนไทยก็เริ่มจะนิยมกับการส่งและชำระเงินในรูปแบบนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้เริ่มมีผู้ให้บริการหลายๆ เจ้าสามารถให้บริการลักษณะนี้ได้แล้ว

คำแนะนำ : หากเว็บไซต์ของคุณยังไม่มีบริการการส่งและเก็บเงินปลายทาง ลองหามาติดตั้งและเปิดให้บริการดู คุณจะพบว่ายอดขายของคุณจะเพิ่มมากขึ้น ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อได้ง่ายมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ต้องระวังการยกเลิกการสั่งซื้อ หรือซื้อไปแล้วไม่เอาก็อาจจะมีตัวเลขเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน

8. การค้าออนไลน์แบบตลาดเฉพาะกลุ่มยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก (Niche Market)

เมื่อการแข่งขันแบบตลาดรวม (Marketplace) หรือเว็บไซต์ที่มีรวมสินค้าทุกอย่าง (B2C Online Store) มีการแข่งขันสูงมาก แต่สำหรับตลาดสินค้าเฉพาะกลุ่ม ยังมีโอกาสอีกมาก เช่น เสื้อผ้าคนอ้วน, เสื้อผ้ารองเท้ากีฬา, อุปกรณ์ทำสวน เป็นต้น ซึ่งสินค้าเฉพาะกลุ่มเหล่านี้มีกำลังซื้อสูงมาก โดยเฉพาะหากคุณสามารถเปิดออกขายไปยังต่างประเทศด้วย จะทำให้โอกาสการขายของคุณเปิดเพิ่มมากขึ้นไปอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันการทำการตลาดออนไลน์​ก็สามารถเข้าถึงกลุ่มคนเฉพาะกลุ่มได้ทั่วโลกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลงโฆษณาผ่าน Google หรือ Facebook ที่กำหนดราคาได้และเลือกกลุ่มลูกค้าได้แม่นยำมากๆ

คำแนะนำ : ลองหาสินค้าเฉพาะกลุ่มดูว่า กลุ่มสินค้ากลุ่มไหนที่คุณสนใจ และลองไปค้นดูในเว็บไซต์ ยังไม่ค่อยมีคนขายหรือเค้าทำแล้วดูท่าจะห่วยกว่าเรา นั้นคือโอกาสที่คุณจะสามารถเข้ามาทำตลาดตรงนี้ได้

9. การนำข้อมูลที่มีมาวิเคราะห์ในเชิงลึก (E-Commerce Data Scientific and Analytic)

ปัจจุบันการทำการค้าออนไลน์ คุณจะพบว่าคุณมีข้อมูลมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพฤติกรรมของคนที่เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ (Traffic Data) ข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า (Order Data) ข้อมูลประเภทและกลุ่มสินค้าที่ขายได้ (หรือไม่ได้) รวมไปถึงข้อมูลของสมาชิกของคุณ (Member Data) ซึ่งข้อมูลเหล่านี้หากคุณสามาถนำมารวมกันและวิเคราะห์ออกมา มันจะทำให้เห็นข้อมูลที่มีประโยชน์มากๆ ต่อการตัดสินใจ การวางแผน และการวางกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เพื่อที่จะปรับและพัฒนาให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณดีขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมุลเหล่านี้ ถ้าคุณสามารถนำมาวิเคราะห์ได้ดีพอ ซึ่งเดียวนี้มีเครื่องมือมากมากที่จะมาช่วยคุณวิเคราะห์ได้

คำแนะนำ : ลองตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดที่คุณมีในธุรกิจออนไลน์ของคุณ ว่าคุณมีข้อมูลอะไรบ้าง และคุณเองเคยนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์หรือไม่? หากคุณลองนำมาวิเคราะห์ดีๆ คุณจะเห็นจุดอ่อนและจุดแข็งของธุรกิจออนไลน์ของคุณได้ไม่อยาก และยังสามารถนำมาตั้งเป็นเป้าและ KPI ให้กับทีมงานของคุณในการเดินไปยังเป้าหมายได้ไม่ยาก

10. ยุคทองของการค้าผ่านมือถือมาแล้ว (Glory of Mobile Commerce)

เราได้ก้าวเข้าสู่ยุคที่คนไทยในทุกชนชั้นใช้มือถือเป็นช่องทางหลักในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ตแล้ว มากกว่า 77% ของคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ หลายคนเริ่มต้นใช้อินเทอร์เน็ตครั้งแรกผ่านมือถือ ซึ่งตัวเลขยังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหากธุรกิจออนไลน์ของคุณยังไม่มีเว็บไซต์ที่มีหน้าที่รองรับขนาดของมือถือ และยังไม่มีการตลาดที่เน้นให้คนเข้ามาทางมือถือโดยเฉพาะ ผมว่าคุณอาจจะสูญเสียลูกค้าให้กับคูแข่งของคุณได้ง่ายๆ

คำแนะนำ : จงสร้างเว็บไซต์ที่รองรับขนาดของมือถือหรือหากสามารถทำรองรับขนาดของแท็บเล็ตจะช่วยทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้ดีมากขึ้น และอัตราที่ผู้ซื้อจะซื้อได้สำเร็จก็จะมีสูงขึ้นได้ด้วยเช่นกัน ผมอยากให้ทำเว็บบนมือถือก่อนที่จะไปทำแอพ

ทั้งหมดนี้คือ 10 เทรนด์การค้าออนไลน์ไทยและอาเซียนปี 2015 ที่หากคุณเองยังไม่เริ่มนำธุรกิจเข้ามาในโลกออนไลน์ ผมบอกได้เลยว่านี้คือ “ปีที่คุณต้องขยับได้แล้ว”​ ก่อนที่คู่แข่งสินค้าประเภทเดียวกันจะเหาะมาเจาะลูกค้าของคุณในประเทศ และสำหรับคนที่ทำอยู่แล้ว นี้คือช่วงเวลาที่คุณต้องปรับตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขยายตลาดของตัวเองออกไปนอกประเทศมากขึ้น เพราะ E-Commerce จะทรงอนุภาคมากๆ หากคุณสามารถนำมันไปค้าขายกับคนทั่วโลก

หากคุณผู้อ่านท่านไหนสนใจอยากมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองล่ะก็ ลองใช้บริการบริษัท รับทำเว็บไซต์ กันดูไหมครับรับรองว่าคุณจะได้เว็บไซต์ที่สวยถูกใจ แถมยังไม่ตกเทรนด์อีกด้วย

ที่มา : pawoot.com